เด็ก

ฤดูร้อนฤดูเสี่ยง ผลักดันนโยบายฝึกทักษะ “ตะโกน โยน ยื่น”

ฤดูร้อนฤดูเสี่ยง ผลักดันนโยบายฝึกทักษะ “ตะโกน โยน ยื่น” กู้ชีพฉุกเฉินเบื้องต้นแก่เด็ก-เยาวชน ปักหมุดกลุ่มเสี่ยงจมน้ำ

ข่าวร้ายที่มักจะมากับช่วงฤดูร้อนคงหนีไม่พ้น ‘เด็กจมน้ำ’ ช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบสถิติเด็กจมน้ำเสียชีวิตกว่า 900 ราย เฉลี่ยวันละ 2 ราย ส่วนใหญ่มักจะเกิดช่วงเดือนเมษายน และเหตุเกิดจากแหล่งน้ำธรรมชาติมากที่สุด

ช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงที่เด็กปิดเทอม เด็กๆ อาจจะชวนกันไปเล่นน้ำกันตามลำพัง โดยขาดการดูแลจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง จนนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุจมน้ำได้ สอดคล้องกับข้อมูลของกรมควบคุมโรค เปิดเผยสถิติช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ 2561-2565 พบเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตในช่วงฤดูร้อนซึ่งตรงกับช่วงปิดเทอม (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม) จำนวน 953 ราย ตกเฉลี่ยถึงวันละ 2 ราย ซึ่งเดือนเมษายนพบเหตุการณ์เด็กจมน้ำมากที่สุดมากถึง 65 ราย รองลงมาคือเดือนมีนาคม 64 ราย และเดือนพฤษภาคม 63 ราย โดยกลุ่มอายุที่มักจมน้ำเสียชีวิตอยู่ในช่วง 4-14 ปี เพศชายจมน้ำสูงกว่าเพศหญิงถึง 2.2 เท่าตัว

โดยแหล่งน้ำที่พบว่าเด็กจมน้ำมากที่สุดเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติ 76.5%, เขื่อน/อ่างเก็บน้ำ/ฝาย 11.1%, ทะเล 5.3%, ภาชนะภายในบ้าน 3.5%, สระว่ายน้ำ/สวนน้ำ 1.8% สาเหตุหลักเกิดจากการเล่นน้ำ รวมถึงมีการพลัดตกลื่นด้วย แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือขาดการดูแลจากผู้ปกครอง และขาดความรู้เรื่องแหล่งน้ำเสี่ยงอันตราย

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา วันที่ 7 มกราคม 2566 สื่อไทยหลายสำนักรายงานว่าพบร่างเด็กชาย 2 คน อายุ 7 ขวบ กับ 9 ขวบ จมน้ำเสียชีวิตทั้งคู่ หลังชวนกันไปเล่นน้ำที่คูน้ำ ระดับความลึกถึง 3 เมตร ซึ่งอยู่หลังสวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา หรือสวนใหญ่ อยู่ในตัวเมือง จ.สุรินทร์ พ่อแม่ร่ำไห้ขอโทษที่ดูแลลูกไม่ดี เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างที่พ่อแม่กำลังขายลูกชิ้นอยู่บริเวณสวนสาธารณะใกล้คูน้ำแห่งนี้ ส่วนเด็กๆ ชวนกันไปเล่นน้ำรอระหว่างพ่อแม่ขายลูกชิ้นอยู่ ซึ่งจุดนี้ไม่ได้มีป้ายเตือนหรือที่กั้น ก่อนหน้านี้เคยมีรั้วลวดหนาม แต่มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ทำให้ไม่มีการติดป้ายเตือน หรือกั้นเป็นเขตพื้นที่ที่บ่งบอกว่าเป็นเขตน้ำลึกหรืออันตราย

แม้จะมีการถอดบทเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ดูเหมือนจะยังไม่นำไปสู่แนวทางการป้องกันอย่างจริง แต่ถ้าหลายภาคส่วนลองเปลี่ยนนโยบาย ผลักดันให้ความรู้เด็ก-เยาวชน ปักหมุดกลุ่มเสี่ยงจมน้ำ ด้วยการฝึกทักษะ กู้ชีพ กู้ภัย เตรียมพร้อมรับมืออุบัติเหตุและภัยพิบัติ

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการฝึกอบรมที่ถูกต้อง เพื่อให้พร้อมต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน หลักสูตรการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (Basic CPR) และการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) จะทำให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้วิธีการช่วยเหลือและฝึกปฏิบัติจริงกับอุปกรณ์เพื่อให้ฝึกปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เพราะการเจ็บป่วยฉุกเฉินหรืออุบัติสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

เด็ก

พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา เลขานุการคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข ยังจำเหตุการณ์ในขณะที่ลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์ ที่จ.ปัตตานี พบเคสเด็กจมน้ำเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ โดยไม่มีอะไรแจ้งเตือนว่าเป็นเขตอันตราย แม้ช่วยเหลือทำ CPR จนถึงโรงพยาบาล ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ทัน เพราะเด็กจมน้ำนานถึง 15 นาที และญาติช่วยเหลือผิดวิธีก่อนที่เจ้าหน้าที่กู้ชีพฉุกเฉินพบเจอ

จึงตั้งเป้าแก้ปัญหาไปที่เด็ก-เยาวชน ที่บ้านอยู่ติดริมน้ำ ริมทะเล หรือในละแวกชุมชน ห้วย หนอง คลอง บึง ที่อาจสุ่มเสี่ยงอันตราย โดยได้วางโมเดลไว้ในภาคใต้ ได้ร่วมกับกลุ่มลูกเหรียง จ.ยะลา และ รร.เดชะปัตตนยานุกูล จ.ปัตตานี เพราะมองว่าเด็ก-เยาวชน โดยเฉพาะเด็กอายุก่อน 14 ปี จะมี Growth Mindset สามารถจำ ทำ เลียนแบบ และส่งต่อการเรียนรู้แบบพี่สอนน้องได้ โดยเฉพาะคำว่า “ตะโกน โยน ยื่น” เมื่อพบเจอคนจมน้ำ เหตุฉุกเฉิน

นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค มีคำแนะนำสำหรับผู้ปกครองในฤดูร้อน อย่างน้อยเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปควรได้เรียนว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด เนื่องจากในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เด็กขาดโอกาสในการเรียนว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด และวิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำหรือจมน้ำที่ถูกต้อง ส่วนเด็กเล็กต้องอยู่ในระยะที่แขนเอื้อมถึงหรือคว้าถึง ผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิด และควรสวมเสื้อชูชีพให้เด็กๆ ก่อนลงเล่นน้ำ

แนะนำข่าวเด็กเพิ่มเติม : เคล็ดลับฝึกนิสัยการกินเด็กน้อยวัยหัดเดิน